ความเชื่อวันคริสต์มาส เรื่องราวที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
ความเชื่อวันคริสต์มาส นั้นมีมากมาย คุณรู้เรื่องไม่ว่า วันคริสต์มาสคือวันฉลองการเกิดของพระเยซู ผู้เป็นศาสดาของชาวคริสต์ทั่วโลก เป็นวันสำคัญและมีความหมายอย่างมาก
เพราะชาวคริสต์ถือว่า พระเยซูไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาเท่านั้น แต่ตัวพระองค์นั้นเปรียบเสมือนเป็นบุตรของพระเจ้าผู้สูง เป็นมนุษย์ในพระองค์เอง
มีพระธรรมชาติเป็นพระเจ้า การบังเกิดของพระองค์นั้น ถือเป็นเหตุการณ์พิเศษ พูดง่าย ๆ คือ เป็นแบบที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครสามารถมาเหมือนได้
ความเชื่อวันคริสต์มาส มีอะไรบ้าง
การจัดต้นคริสต์มาส
มีคนคนหนึ่งชื่อว่า Martin Luther เค้าอยู่ในประเทศเยอรมันนี ด้วยความที่เค้าเป็นคนโรแมนติก มีอยู่คนหนึ่งนั้น เค้ากำลังเดินกลับบ้าน สายตาเค้าไปจับจ้อง
กับความงามของดวงจันทร์ที่อยู่หลังกิ่งไม้ เมื่อเค้าเดินทางไปถึงบ้าน เค้ามีความคิดว่าจะไปตัดต้นไม้เล็ก ๆ เข้ามาประดับด้วยเทียนในบ้าน และเค้าผู้นี้นี่เอง
ทำให้ประเพณีวันคริสต์มาส ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วประเทศเยอรมันนี แม้กระทั่งราชวงค์ของประเทศอังกฤษยังนำการตกแต่งต้นไม้มาใช้ รวมไปถึงทุกคนทั่วโลกด้วย
ว่ากันว่า ต้นคริสต์มาสนั้นเปรียบเป็นต้นไม้แห่งสวรรค์ ตามพระคัมภีร์แล้วนั้น องค์พระเยซูท่านเป็นเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต มีความเขียวขจีเสมอในทุกฤดูกาล
เป็นการสื่อให้เห็นเป็นนิรันดรภาพ อีกทั้งแสงเทียนที่ถูกประดับประดาบนต้นไม้ อีกนัยคือ ความส่องสว่างในหนทางอันมืดมิด อีกทั้งยังรวมถึงความชื่นชมยินดี
ความสามัคคี ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงประทานมาให้ ต้นไม้ จึงเปรียบได้ดั่งจุดศูนย์รวม จุดศูนย์กลางของครอบครัวในเทศกาลวันคริสต์มาสนั่นเอง
ต้นมิสเซิลโท
หลาย ๆ คนน่าจะรู้จักต้นมิสเซิลโท แต่ยังมีอีกหลายคนที่เคยเห็น แต่ไม่รู้ว่า อันนี้คือ มิสเซิลโท ชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Phoradendron มาจากภาษากรีก
แปลได้ว่า โจรปล้นต้นไม้ บ้านเราเรียกว่า กาฝากนั่นแหละ ซึ่งมิสเซิลโทเป็นพืชกาฝากเก่าแก่ ตระกูลเดียวกับไม้จันทน์ ที่เติบโตบนกิ่งไม้พืชยืนต้นอื่น ๆ
ความพิเศษของเจ้าต้นนี้คือ ใบไม้จะไม่ร่วงแม้จะเข้าสู่ฤดูหนาวอันโหดร้ายก็ตามที ในปัจจุบันนี้ ทุกบ้านที่ร่วมฉลองเทศกาลวันคริสต์มาสจะแขวนพุ่มมิสเซิลโท
ไว้หน้าบ้าน สื่อให้รู้ว่าเทศกาลวันคริสต์มาสกำลังมากแล้ว และมีความเชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย พร้อมทั้งนำความโชคดี และการมีบุตร หลานมาสู่ครอบครัวอีกด้วย
ความเชื่อวันคริสต์มาส กับการแขวนถุงเท้า
สำหรับคนที่ชื่นชอบเทศกาลวันคริสต์มาส จะต้องไปหาถุงเท้ามาแขวน เพื่อรอรับของขวัญจากลุงซานต้าผู้ใจดีแน่นอน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ทำไมเค้าต้องใช้ถุงเท้าด้วยล่ะ
โดยส่วนใหญ่มักจะใช้เป็นถุงเท้ายาว และนำมาห้อยไว้บริเวณหน้าเตาผิง ความเชื่อนี้มาจาก นักบุญนิโคลัส ผู้เป็นซานต้าคลอสคนแรกนั้น เค้าเดินทางด้วยลาคู่ใจ หากชาวบ้าน
รู้ว่าเค้าจะเดินทางผ่านมา จะนำหญ้าแห้งไปใส่ไว้ในรองเท้า เมื่อนักบุญผ่านมาจะนำหญ้าเหล่านั้นมาเป็นอาหารให้กับลาของเขา พร้อมนำเหรียญเงินใส่ไว้ให้ในรองเท้า
เพื่อเป็นการตอบแทนอีกด้วย และมีอีกความเชื่อว่า มีครอบครัว 3 พี่น้อง คิดว่าจะไปทำงานด้วยอาชีพโสเภณี เพราะทางบ้านมีฐานะยากจน เมื่อนักบุญนิโคลัสได้รู้เรื่องเข้า
ด้วยความสงสาร จึงได้นำเหรียญทองไปหยอดลงในปล่องไฟ แต่บังเอิญว่า เหรียญทองพวกนั้นดันไหลลงไปใส่อยู่ในถุงเท้าของ 3 พี่น้องที่ถูกแขวงไว้หน้าปล่องไฟนั่นเอง
พอรุ่งเช้าทั้ง 3 ตื่นขึ้นมาเจอกับเหรียญทองเข้า พวกเธอจึงดีใจเป็นอย่างมาก และเลิกล้มจะไปทำงานเป็นโสเภณี ต่อมามีผู้คนมากมายนำถุงเท้ามาแขวนรอของขวัญเช่นเดียวกัน
อย่าลืมเตรียมขนมและนมให้ซานต้า
หลายคนมีความเชื่อว่า เมื่อตกดึกฟ้ามืดและเราหลับสนิท ซานต้าจะจอดกวางไว้บนหลังคา และปีนลงมาทางปล่องไฟ เพื่อส่งของขวัญให้กับเด็ก ๆ ทั้งหลาย กว่าจะส่งของขวัญ
ให้กับเด็ก ๆ ครับทุกคน เป็นการทำงานที่หนักหนาสาหัสมาก เพื่อเป็นการตอบแทนและขอบคุณซานต้า จึงมีประเพณีวางคุกกี้พร้อมนมสดไว้ข้าง ๆ เตาผิง ก่อนเข้านอนอีกด้วย
เคาะประตูร้องเพลงเฉลิมฉลอง
เป็นประเพณีการรวมกลุ่มและเดินไปตามบ้านแต่ละหลัง เพื่อเคาะประตูและร้องเพลง เมื่อเจ้าของบ้าน ผู้ได้รับการอวยพรแล้วนั้น จะตอบแทนด้วยการให้ขนม อาหาร
และเครื่องดื่มแก่กลุ่มนักร้อง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับพวกเค้า เป็นการสร้างความสุขให้กับคนที่เรารักในวันคริสต์มาสได้เป็นอย่างดี ด้วย การร้องเพลงเพราะ ๆ ให้ฟังนั่นเอง
สีเขียวและสีแดง
มีใครเคยสงสัยบ้างว่า ทำไมวันคริสต์มาสต้องเป็นคู่ของสีเขียวและสีแดงล่ะ ความหมายของสีเขียวคือ ความมีชีวิตชีวา ความหวัง โดยใช้ต้น Evergreen เป็นสัญลักษณ์
สีแดงนั้นมีความหมายว่า ความรักที่ผ่านพระโลหิตของพระเยซูบนไม้กางเขน ความรักและความศรัทธาที่มีต่อพระเยซู โดยใช้ผลสีแดงจากต้นฮอลลี่เป็นสัญลักษณ์
ดูหนังมาราธอน
โดยในช่วยวันคริสต์มาสในประเทศอเมริกานั้น จะเปิดหนังเกี่ยวกับวันคริสต์มาสตลอดทั้งวัน เรียกได้ว่ามาราธอนข้ามวันข้ามคืนกันเลยนั่นเอง เพราะช่วงเวลานี้
หลาย ๆ ครอบครัวจะมีทั้ง ลูกเล็ก เด็กแดง ผู้ใหญ่ วัยรุ่น พ่อเฒ่า แม่แก่ อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เรียกได้ว่าเป็นเวลาแห่งครอบครัว ดังนั้นหากพวกเค้า
ไม่มีกิจกรรมไปท่องเที่ยวที่อื่นใด พวกเค้าจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง การทางข้าวด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นการเติมเต็มความสุขของครอบครัวนั่นเอง
เพลง Jingle Bells และ Last Christmas ถูกเปิดไปในหลายที่ทั่วประเทศ เป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนได้รับทราบกันว่าใกล้ถึงเทศกาลวันคริสต์มาสแล้ว
ถึงแม้จะเป็นวัฒนธรรมจากทางฝั่งตะวันตก แต่คนที่นับถือศาสนาคริสนั่นมีอยู่ทั่วประเทศทั่วโลก จึงไม่แปลกเลยว่า ประเทศไทยทำไมถึงมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ
และนี่คือ ความเชื่อวันคริสต์มาส ที่เรานำมาฝาก บางเรื่องเป็นตำนาน บางเรื่องคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมากว่าร้อยปีแล้ว จนกลายเป็นธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติในวันนี้