ค้ามนุษย์ ชาติพันธุ์โรฮิงญา ข่าวดังปี 2558 ตำรวจน้ำดีต้องลี้ภัยไปออสเตรเลีย
ทำไมหัวหน้าทีมสืบสวนคดีต้องถูกย้าย ถูกข่มขู่ และเค้าต้องหนีไปลี้ภัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย แฮชแท็ก ค้ามนุษย์ ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ทวิตเตอร์ประเทศไทย
กลายเป็นกระแสร้อนแรงไปแล้วกับยอดทวีตมากกว่า 5 แสนครั้ง เมื่อ รังสิมันต์ โรม จากพรรคก้าวไกล ลุกขึ้นอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นของชาวโรฮิงญา
ที่ตกเป็นข่าวเมื่อ พ.ศ. 2558 ใครละคือหัวหน้าทีมสืบสวนที่ต้องลี้ภัยไปอยู่เมืองนอก คำตอบคือ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์
ซึ่งตอนนั้นท่านได้ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เป็นตำรวจน้ำดี ผู้ไขคดียาก ๆ มาเยอะแยะมากมาย ทำไมถึงต้องลี้ภัย ?
ค้ามนุษย์ คืออะไร
คือ การจัดหา การส่งต่อ การให้อาศัยหรือการรับไว้ซึ่งบุคคลนั้น ๆ อาจจะถูกขู่เข็นด้วยกำลังหรือการแบบบังคับในรูปแบบใดก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นการลักพาตัว การหลอกลวง การใช้อำนาจโดยมิชอบไปนำมา การให้เงิน การรับเงิน เพื่อควบคุมคนนั้น ๆ ไปสู่การ
แสวงหาประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการค้าประเวณี หรือการหาผลประโยชน์ทางเพศในรูปแบบอื่น ๆ การบังคับใช้แรงงาน หรือการตัดอวัยวะออกจากร่างกาย
การค้ามนุษย์ ไม่ได้มีแค่บังคับให้ขายตัว หรือให้ไปเป็นแรงงานในเรือประมง ให้ไปเป็นขอทาน เหมือนที่เราคุ้นตาในเมืองไทย ที่เห็น ๆ อยู่ในทุก ๆ วันนี้
แต่ในเรื่องของชาวโรฮิงญานี้ พวกเค้าต้องการไปอยู่มาเลเซีย ดังนั้นจึงต้องเดินทางผ่านประเทศไทย จึงทำให้เกิดขบวนการหากินกับชีวิตคน
เรียกเก็บเงิน กินค่าหัวคิว ใครอยากหนีไปประเทศอื่น มึงต้องจ่ายเงินมา หัวละหลายหมื่นบาท ถูกจับใส่เรือประมงที่ดัดแปลงไว้ เอาขึ้นฝั่งขังไว้ในป่า
ผู้หญิงบางคนอาจจะถูกข่มขืน บางคนถูกซ้อม ถูกตบตี ถ้าไม่มีเงินให้จะถูกปล่อยทิ้งไว้ในคอก บางคนอดข้าวจนป่วยตาย ก็ไม่มีคนสนใจ
พวกคุณรู้หรือไม่ว่า เมื่อปีที่แล้ว กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เผยรายงานสถานการณ์การ ค้ามนุษย์ โดยลดระดับประเทศไทยจากกลุ่ม
Tier 2 ลงไปอยู่ในกลุ่ม Tier 2 Watch List หรือเกือบแย่สุดจากทั้งหมด 4 ระดับ โดยมีรายละเอียดประมาณว่า มีการลักลอบขนคนแบบผิดกฏหมาย
ข้ามชายแดนระหว่างพม่ากับไทย มีการเรียกเก็บเงินตั้งแต่ 10,000 – 70,000 บาท เป็นการทำงานโดยมีเจ้าหน้าในหน่วยงานต่าง ๆ ให้การช่วยเหลือ
ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร พวกหน่วยงานท้องถิ่น แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง แต่เมื่อมีการถูกลดกลุ่มลง มีการจับผู้ต้องหาได้ซะงั้น ??
แคมป์ ค้ามนุษย์ ที่สงขลา
แคมป์ใหญ่ ตั้งกลางป่าที่ ต.ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ซึ่งเป็นรอยต่อของประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย พบว่าใช้ขังชาวโรฮิงญา สามารถจุได้มาถึง 1,000 คน
อีกทั้งยังขุดพบศพ 36 ศพ เมื่อนำไปชันสูตรแล้วส่วนใหญ่ขาดสารอาหารตายและถูกทำร้ายจนตาย ถ้าใครอยากไปอยู่มาเลเซียจะต้องมีค่าใช้จ่ายตามที่บอกไป
ถ้าไม่มีเงินให้ จะถูกนำไปเป็นแรงงานทาส บางคนถูกปล่อยให้ตายไปโดยไม่มีคนสนใจ ที่น่าหดหู่คือ การ ค้ามนุษย์ ชาวโรฮิงญามีมานานกว่า 10 ปีแล้ว
โรฮิงญา คือใคร
กลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งอาศัยในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของประเทศพม่า ซึ่งรัฐบาลพม่าบอกมาเสมอว่า คนกลุ่มนี้คือ
คนที่เข้าเมืองมาอย่างผิดกฏหมาย ไม่ยอมรับเป็นพลเมือง ทั้ง ๆ ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในประเทศพม่ามาหลายชั่วอายุคนแล้ว โดยบอกว่า
พม่านั้นมี 135 ชาติพันธุ์ แต่ไม่มีโรฮิงญา ซึ่งทำให้ไม่ได้รับสวัสดิการอะไรเลยจากรัฐบาล ทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ต่ำมาก ทำให้
ต้องหนีการอพยพไปประเทศอื่น โดยการล่องเรือผ่านทางทะเลอันดามัน เพื่อการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นบนแผ่นดินไทย หรือไม่ก็แผ่นดินมาเลเซีย
แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า กลุ่มชาติพันธุ์นี้ไม่มีการรองรับสัญชาติจากใคร พอล่องเรือมาถึงประเทศไทย พอจะส่งตัวคืนไปพม่า ทางพม่าปฏิเสธไม่รับ
ประเทศไทยจึงทำได้แค่ กักไว้ในพื้นที่พิเศษ สำหรับพวกที่ลักลอบเข้าเมือง พอถูกกักขังนานวันเข้า นำไปสู่ความวุ่นวาย เหมือนข่าวที่พวกเขา
ก่อการจลาจลที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่จังหวัดสงขลา ดังนั้นการที่พวกเขาต้องการไปประเทศอื่น จึงทำให้พวกขบวนการ ค้ามนุษย์
ฉกฉวยโอกาสนี้ได้ ไม่จ่ายเงินเท่ากับทาส ไม่จ่ายเงินเท่ากับตาย โทรหาญาติ ทำร้ายร่างกาย ให้รีบโอนเงินมาให้ ขบวนการอะไรกันนี่
ผลของการทลายแคมป์เมื่อปี 2558
พล.ต.ต ปวีณ เชื่อว่าการ ค้ามนุษย์ แบบนี้ถ้าสามารถทำได้ถ้าไม่มี คนในเครื่องแบบให้การช่วยเหลือ ซึ่งนั่นก็จริง ๆ เมื่อขยายผลการจับกุม
มีตั้งแต่คนดังในพื้นที่อย่างเจ้ง้อ (ปันจุบันตายไปแล้ว) ซึ่งเจ้ง้อคนนี้สายสัมพันธ์โยงใยไปถึงนายทหารระดับอดีต ผบ.ทบ. อีกด้วย
ไหนจะอดีตนายก อบจ. สตูล อย่างโกโต้ง นายทหารบกอีก 3 คน ทหารเรืออีก 1 คน และพล.ท.มนัส คงแป้น (หัวใจวายตายไปแล้วตั้งแต่อยู่ในเรือนจำ)
ซึ่งคุณรังสิมันต์ โรม บอกการเสียชีวิตครั้งนี้มันแปลก ๆ เพราะตลอดมา พล.ท. มนัสแข็งแรงดีออก จริง ๆ แล้วคดีนี้เป็นผลงานชิ้นเอก แบบใหญ่บิ๊กเบิ้มก็ว่าได้
แต่กลายเป็นว่า คดีนี้ทำให้เกิดปัญหามากมายกับ พล.ต.ต.ปวีณ ทำให้ตัดสินใจลาออก สื่อตีข่าวเรื่องนี้อย่างหนักหน่วง จนแล้วจนรอดมีเรื่องที่ทำให้
พล.ต.ต.ปวีณ ไม่สบายใจและคิดว่าตัวเองจะต้องไม่ได้รับความปลอดภัย จึงตัดสินใจขอลี้ภัยไปอยู่ที่ออสเตรเลีย
พล.ต.ต.ปวีณ ให้สัมภาษณ์ออนไลน์
พล.ต.ต.ปวีณ เล่าว่าตนได้หนีออกนอกประเทศมานาน 6 ปี 3 เดือนแล้ว ขอยืนยันว่าที่คุณรังสิมันต์ โรม อภิปรายไปนั้น เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด
วันนี้ตนเองมีความสุขที่สุดวันหนึ่ง เพราะได้รับความเป็นธรรมและรอว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะมีประชาธิปไตยที่แท้จริง ตนใช้ชีวิตอยู่ที่ออสเตรเลีย
เหมือนคนลี้ภัยทั่วไปคนหนึ่ง ไปเรียนภาษาและทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง ในวันที่ไม่มีทรัพย์สินติดตัว ภาษาก็ไม่ได้ นักข่าวถามว่า “อยากกลับไทยหรือไม่”
พล.ต.ต.ปวีณ ตอบพร้อมน้ำตาคลอ แน่นอนผมอยากกลับไปบ้านเกิดของผม เพราะที่นั่นมีคนอันเป็นที่รักอยู่ และเป็นความหวังของผม
