น้ำตาล สารให้ความหวาน ตัวการให้โทษที่นำมาสู่โรคต่าง ๆ มากมาย
สำหรับสายหวาน สายขนมหวาน ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สายน้ำชงกาแฟเย็น คาปูชิโน่หวาน ๆ 1 แก้ว แล้วตามด้วยขนมเค้กอีก 1 ชิ้น น้ำตาล เข้าร่างแล้วอารมณ์ดี
แม่หมีนี่แหละตัวดีเชียว แต่การกินแบบนี้ ไม่ดีนะทุกคน วันนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสิ่งนี้ให้ลึกซึ้งมากว่าคำว่า หวาน ซึ่งอาหาต่าง ๆ ที่เราเติมความหวานใส่ลงไปประจำ
ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว หรืออาหารหวาน หรือในเครื่องดื่มที่เรากินเป็นประจำ มันกำลังกลับมาทำร้ายตัวเราช้า ๆ เรื่อย ๆ โดยที่เราเองไม่รู้ตัว เพราะปริมาณที่เกินพอดี
จากที่จะให้เป็นพลังงานในการขับเคลื่อนชีวิต กลับกลายเป็นให้โรคให้โทษแทนที่จะให้ประโยชน์ สิ่งพวกนี้ร่างกายต้องการเพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง
น้ำตาล คืออะไร
เป็นชื่อเรียกของคาร์โบไฮเดรตชนิดละลายน้ำ ที่ให้รสหวาน ที่มีส่วนประกอบของ ไฮโดรเจน ออกซิเจน และธาตุคาร์บอน ซึ่งมีหลายชนิดทีเดียว แต่เราเรียกรวม ๆ ว่า น้ำตาล
ง่ายดี นอกจากเราจะเห็นเป็นแบบก้อน แบบเกล็ด แบบละเอียด ในเนื้อเยื่อของพืช มี น้ำตาล อยู่เช่นกัน พวกอ้อย และชูการ์บีต แรก ๆ ที่เราใช้แทนการให้ความหวานจากน้ำผึ้ง
โดยปลูกอ้อยไว้ที่เวสต์อินดีส และอเมริกา แม่หมีเคยเห็นแต่ไร่อ้อยที่จังหวัดกาญจนบุรี ตอนที่เค้าจะเกี่ยวอ้อยนะ เค้าต้องจุดไฟเผาก่อน ตอนกลางคืนเปลวไฟแดง น่ากลัวมากเลย
โครงสร้างของน้ำตาล แต่ละชนิด
น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว เป็นตัวที่มีโมเลกุลของคาร์โบไฮเดรตที่เล็กจิ๋วสุด ๆ พอทานเข้าไปแล้ว พวกนี้จะถูกดูดซึมไปใช้ได้โดยทันไม่ไม่ต้องผ่นการย่อย
น้ำตาลโมเลกุลคู่ มีรสหวาน สามารถละลายน้ำได้ เมื่อเรากินเข้าไป ร่างกายต้องนำไปผ่านกระบวนการต่าง ๆ ก่อน จึงจะสามารถนำไปใช้งานได้
ฟรุกโตส (Fructose) พบมากในผลไม้และผัก และในเครื่องดื่มอย่างน้ำอัดลม ฟรุกโตสจะถูกส่งตรงไปที่ตับและสะสมในรูปแบบไขมันที่เราเรียกว่า ไขมันพอกตับ นั่นเอง
กลูโคส (Glucose) ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาได้เองจากตับของเรา โดยเปลี่ยนพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต หรือข้าวที่เรากินเข้าไปนั่นแหละ ดูดซึมเข้าสู่ตับ
และส่งสารอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเรา กลูโคสเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ ไปเลี้ยงเซล์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์สมองนั่นเอง
ซูโครส เป็น น้ำตาล ที่เรากินในชีวิตประจำวัน พวกน้ำตาลทราย น้ำตาลอ้อยนั่นเอง เจ้าพวกนี้พอเข้าน่างกายจะแตกตัวออกเป็นกลูโคสและฟรุกโตส อย่างละ 1 โมเลกุล
แลกโตส อยู่ในนมซะเป็นส่วนใหญ่ เราจึงรู้จักในชื่อ น้ำตาลนม กาแลกโตส ได้จากการสลายตัวของแลกโตสในน้ำนม ซึ่งเราจะพบได้ในน้ำนมนั่นเอง
โทษของการกิน น้ำตาล มากเกินไป
1.ไขมันสะสม เมื่อเรากินเจ้าสารให้ความหวานนี้เข้าไป มันจะกลายเป็นไกลโคเจนสะสมไว้ที่ตับ ถ้ากินเยอะเกิน ตับจะส่งออกไปสู่กระแสเลือด และถูกเปลี่ยนให้มาเป็น
กรดไขมัน สะสมไว้ตามร่างกายของเรานั่นเอง สะโพก ต้นขา ก้น หน้าท้อง หลัง ต้นแขน นี่แหละอีก 1 สาเหตุของความอ้วนที่เราได้มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย
2. เลือดเป็นกรด น้ำตาลทราย ในน้ำผลไม้ ในน้ำผึ้ง ในนม พอกินหวานมาก ๆ จะเข้าไปสู่กระแสเลือดของเรา ในเวลาอันรวดเร็ว พอเลือดเป็นกรดมาก ร่างกายจะเสียสมดุลทันที
3. กระดูกเปราะ ฟันผุ เด็ก ๆ ที่ชอบทานของหวาน ๆ จะทำให้เกิดโรคกระดูกเปราะและทำให้ฟันผุได้ อีกทั้งยังมีในเรื่องของโรคสมาธิสั้นและโกรธได้ง่ายอีกด้วย
4. ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เวลาเราทานของหวานต่อเนื่อง บางคนอาจจะเกิดสิว หรือ ปวดไมเกรน ได้ ผลนั้นมาจากการกินหวานมาก ๆ นั่นเอง
5. ร่างกายติดเชื้อได้ง่าย ใครที่กินหวานจัด ๆ ระบบความสมดุลแร่ธาตุของร่างกายจะเสียไป ทำให้ภูมิคุ้มกันเราต่ำลง จึงติดเชื้อได้ง่ย และมีอาการเจ็บป่วยเรื่อย ๆ
โรคร้ายที่แฝงมากับน้ำตาล
1. โรคอ้วน ถ้าเรากินหวานตลอด ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ จนเป็นไขมันสะสม ร่างกายเผาผลาญไม่หมด จนทำให้เราตกอยู่ในภาวะโรคอ้วนนั่นเอง
2. โรคไขมันพอกตับ เกิดจากร่างกายเรา กินแป้ง ไขมัน ของหวาน มากเกินไป จนมีไขมันสะสมมากมาย และไปสะสมอยู่ที่ตับ ในรูปของไตรกลีเซอไรด์นั่นเอง
3. โรคมะเร็ง ความอ้วนนั้น จะเป็นเพื่อนกับโรคมะเร็ง เมื่อกินหวานเยอะ ๆ ภาวะอ้วนจะมา รวมไปถึงการเกิดมะเร็งอีกด้วย เช่น มะเร็งในเยื่อบุมดลูก มะเร็งเต้านม ฯ
4. โรคเบาหวาน เกิดจากการสร้างอินซูลินไม่พอดีกับความต้องการของร่างกาย เพราะการที่เรากินหวานมากเกินไป ระวังร่างกายดื้อต่ออินซูลินด้วยนะ
5. โรคผิวหนัง จากภาวะโรคอ้วน ร่างกายเราเสี่ยงติดเชื้อราได้ โดยเฉพาะบริเวณแถว ๆ ขาหนีบ และพวกรอยพับของผิวหนังตรงคอ แถมยังทำให้แก่ก่อนวัยอีกด้วย
ความเสี่ยงจากความหวานที่เราต้องรู้
ไวรัส COVID-19 กับโรคเบาหวาน
สำหรับคนป่วยเบาหวาน ที่มีระดับ น้ำตาล สูงกว่าค่าปกติ มีผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเราลดลง ต่อสู้กับเชื้อไวรัสไม่ดี ดังนั้นเชื้อโรคจึงเติบโตและแพร่ตัวไปได้ง่าย
เมื่อคนที่เป็นเบาหวานและได้รับเชื้อ COVID-19 จะมีอาการหนักมาก อาการความรุนแรงของ COVID-19 ขึ้นอยู่กับ ระดับน้ำตาลในเลือด และอายุของผู้ป่วยด้วย
ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลให้ดี ควรออกกำลังกายทำให้ร่างกายแข็งแรง อย่ามีความเครีย ให้ผ่อนคลายจิตใจ จะได้ลดความรุนแรงของอาการได้
ถึงแม้จะยังไม่มีข้อมูลสรุปอย่างชัดเจนว่าคนที่เป็นโรคอ้วนและเบาหวานมีโอกาศติด COVID-19 ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป แต่แน่นอนว่า ถ้าติดเชื้อไปแล้วจะมีอาการรุนแรง
และมีผลข้างเคียงมากกว่าคนที่ไม่ได้เป็นโรคอ้วนและเบาหวาน อาจจะเป็นเพราะการทำงานของปอด การขยายตัวของปอดที่มีขีดจำกัด ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงสูงมากขึ้น
เมื่อเจ้าเชื้อ COVID-19 ลงปอด และจะต้องรักษาตัวในห้องภาวะวิกฤติ หรือห้อง ICU ถ้าหายใจไม่สะดวกต้องใส่ท่อช่วยหายใจอีกด้วย ซึ่งน่ากลัวมาก ๆ เลยนะทุกคน
สารให้ความหวาน ทางเลือกของคนป่วยโรคเบาหวาน
สารให้ความหวานใช้กันอย่างแพร่หลาย ในกลุ่มคนที่รักสุขภาพ และคุมน้ำหนัก และผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิต ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกใช้แทนน้ำตาลเพื่อลดพลังงาน
แต่การใช้ในปริมาณที่เยอะเกินไป จะทำให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายได้ เพราะวัตถุให้ความหวาน สารให้ความหวานบางชนิดนั้น ไม่มีคุณค่าทางอาหารเลย ควรใช้ในปริมาณที่พอดี
ใช้เพื่อทดแทนความหวานจาก น้ำตาล เท่านั้น โดยมีทั้งสกัดทางเคมีและสมนุไพร มาดูกันทุกคนว่ามีสารให้ความหวานอะไรบ้าง ที่เป็นแบบที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
หญ้าหวาน หรือ Stevia
เป็นสารให้ความหวานที่เป็นธรรมชาติ ให้ความหวาน 250 – 300 เท่า หญ้าหวานถูกใช้เป็นสมุนไพรมานานมาแล้ว เกือบ ๆ 500 ปี หญ้าหวานทนความร้อนได้ดีมาก
สูงถึง 200 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นที่นิยมใช้ในการหมักเนื้อ หมักปลา หมักผักดองของคนญี่ปุ่นและคนเกาหลี ซึ่งเป็นสารที่ทดแทนความหวานที่ปลอดภัย
และผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุญาตให้นำสารสกัด stevioside มาขึ้นทะเบียนเป็นสารหวานแทนน้ำตาลได้
จริง ๆ แล้วถ้าเรากินในปริมาณที่พอดี มันจะไม่เกิดโรค ไม่เกิดโทษต่อร่างกาย เพียงแต่ว่า เครื่องดื่มบางประเภท เทียบปริมาณ 1 ขวด ใช้ น้ำตาล เท่ากับ 6 ช้อนชา ทีเดียว
เราจะไม่เป็นโรคอ้วน โรคไขมันพอกตับ ฯ ได้อย่างไรละ ทางทีดีเพื่อน ๆ ต้องลดการติดหวานลงให้น้อย ๆ หน่อยนะ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง อย่าลืมออกกำลังกาย
กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ด้วย ดื่มน้ำสะอาดกันด้วยนะ อย่าพึ่งเบื่อแม่หมีกันไปก่อนล่ะ เราเป็นห่วงสุขภาพของทุกคน โดยเฉพาะตอนนี้ สถานการณ์โควิด – 19 ยังไม่ดีขึ้นเสียที
รักษาระยะทาง ใส่แมส ล้างมือกันบ่อย ๆ พกเจลไว้ จับอะไรแล้วจะได้ล้างมือได้เลย ฝากติดตามเรื่องต่อไป ว่าแม่หมีจะเอาเรื่องอะไรมาเล่าให้ฟังกันอีกนะ วันนี้ไปก่อนละจ้า
ที่มา :