งานอีเว้นท์

ประเพณีไหลเรือไฟ 2564 และตำนานบั้งไฟพญานาค

ช่วงออกพรรษาทุกปี ทางจังหวัดนครพนมและจังหวัดหนองคาย จะมีการจัดงาน ประเพณีไหลเรือไฟ หรือ “เฮือไฟ” ขึ้น ในทุก ๆ ปี (จังหวัดอื่นริมน้ำโขงมีจัดงานเหมือนกันนะ)

เป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก เราอยากไปดูงานไหลเรือไฟมากเลยนะ ติดอยู่ที่การเงินนี่แหละ อยากไปเก็บภาพ เก็บความสวยงาม เก็บความประทับใจ มาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง

เราเขียนงาน ทำรูป ทุกอย่างเบ็ดเสร็จด้วยตัวคนเดียว ไม่มีทีมงาน เว็บเล็ก ๆ ที่ยังไม่ดัง ทุนเราน้อย การที่จะไปไกลถึงนครพนมหรือไปที่หนอนคาย คงจะใช้งบประมาณ

มากพอดูทีเดียว ถ้ามีโอกาส เราไปแน่รับรองได้เลย ตอนนี้เราพาเที่ยวใกล้ ๆ บ้านเราแทนไปก่อนเน๊อะ เพื่อน ๆ เข้ามาอ่าน เราก็ดีใจละ ถ้าไม่รบกวนมากเกินไปช่วยแชร์บทความ

เราด้วยแล้วกัน พึ่งนึกออก สมัยแม่หมีอยู่ ม. ปลาย เคยไปเข้าค่ายสังคมกับทางโรงเรียนด้วยนะ จำได้ว่าไปพักอยู่โรงเรียนแถวจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งติดริมแม่น้ำโขงเลย

ตอนกลางคืนสวยมาก ดาวเต็มท้องฟ้าที่มาพร้อมกับความเย็นยะเยือก หนาวมาก ๆ จนต้องออกไปผิงไฟกันเลยทีเดียว พึ่งเข้าใจอารมณ์ความหนาวมาก มันเป็นแบบนี้นี่เอง

งานประเพณีไหลเรือไฟ งานไหลเรือไฟ เฮือไฟ วันออกพรรษา

ทำไมถึงมี ประเพณีไหลเรือไฟ

ประเพณีไหลเรือไฟ เป็นประเพณีของพี่น้องชาวอีสาน ชาวบ้านท้องถิ่นจะเรียกประเพณีนี้ว่า “เฮือไฟ” จัดขึ้นเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำมันทานหานที

คือประมาณว่า พระพุทธเจ้าท่านไปที่แม่น้ำมันทามหานที ที่มีพญานาคอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น พระพุทธองค์ได้แสดงธรรมเทศนาโปรดแก่พญานาค หลังจากนั้นพญานาคให้ขอให้

พระพุทธเจ้าประทับรอยพระบาทไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ในเวลาต่อมา ทั้งเทวดา มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายได้มาทำการสัการะบูชา นอกจากนี้ยังจัดขึ้นเพื่อเป็นการขอขมาต่อแม่น้ำ

ที่ได้ทิ้งโน่น นี่ นั่น ลงไป รวมไปถึงเป็นการเอาไฟเผาความทุกข์ให้ลอยไปกับสายน้ำนั่นเอง เป็นประเพณีที่ทำสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน และมีความสวยงามมาก

ประเพณีไหลเรือไฟ ออกพรรษา บั้งไฟพญานาค

ประเพณีไหลเรือไฟ ความสวยงามของตัวเรือ

ประเพณีไหลเรือไฟ โดยตัวเรือ จะทำด้วยไม้ไผ่ ต้นกล้วย หรือวัสดุที่สามารถลอยน้ำได้ ปัจจุบันใช้เรือจริง ๆ แทนแล้วและสร้างรูปร่างต่าง ๆ เช่น สิงห์ มังกร ช้าง พญาครุฑ

ม้าเทียมราชรถ เรือสุพรรณหงส์ และอื่น ๆ ตามแต่ช่างของกลุ่มนั้น ๆ แต่ปัจจุบันบางเรือจะออกแบบรูปร่างเรือเป็นเรื่องราวเข้ากับเหตุการณ์ในช่วงนั้น ๆ โดยจะนำผ้าไปชุบในน้ำมนดีเซล

แล้วนำไปตากนานเกือบ ๆ 1 สัปดาห์ แล้วนำผ้ามาพันกับเส้นลวดที่ขึ้นเป็นรูปร่างไว้ พอถึงเวลางาน จุดไฟแล้วนำไปปล่อยตามแม่น้ำ หลัง ๆ ได้มีการจัดประกวดเรือไฟขึ้นอีกด้วย

เป็นประเพณีที่แฝงไปด้วยข้อคิด ชีวิตมนุษย์เป็นอนิจจัง เมื่อเกิดมาต้องดำเนินชีวิตตามความสุขและทุกข์ ท้ายที่สุดของชีวิต ทุกคนต้องพบเจอกับความตายและดับสูญไป

ไหลเฮือไฟ ประเพณีไหลเรือไฟ ประเพณีวันออกพรรษา

ประเพณีไหลเรือไฟ จังหวัดหนองคาย และตำนานบั้งไฟพญานาค

ตามตำนานเค้าเล่ากันว่า เมื่อสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จไปเผยแพร่ศาสนาทั่วชมพูทวีป แล้วพญานาคีได้มีความเลื่อมใส จึงจำแลงกายมาเพื่อขอบวช

พอหลับไปจึงกลายร่างดังเดิม พระพุทธเจ้าทราบเรื่องจึงให้พญานาคีลาสิกขา เพราะไม่สามารถบวชได้ แต่ขอว่าถ้ากุลบุตรทั้งปวงที่จะบวชให้เรียกขานว่า “นาค”

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชายใดที่จะบวชจึงถูกเรียกว่า พ่อนาค และเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ไปโปรดพุทธมารดาเป็นเวลา 3 เดือนนั้น เมื่อเสด็จกลับมาสู่โลกมนุษย์

เหล่าบรรดาพญานาคี นาคเทวี จึงพร้อมใจกันจัดทำเครื่องบูชา และพ่นบั้งไฟถวาย ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า บั้งไฟพญานาค นั่นเอง นี่คือเรื่องเล่าตามพุทธประวัติ

เรือไฟ ประเพณีไหลเรือไฟ บั้งไฟพญานาค

บั้งไฟพญานาค คืออะไร

ในระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมานั้น มีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและคนต่างชาติให้ความสนใจกันอย่างเนืองแน่น เพื่อมาพิสูจน์บั้งไฟผี หรือ บั้งไฟพญานาคนั่นเอง

ช่วงออกพรรษา เราจะเห็นสำนักข่าวหลาย ๆ ช่อง มาปักหลักหาทำเลดี ๆ เพื่อรอถ่ายทำเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคริมแม่น้ำโขง เป็นเหมือนงานเทศกาลขนาดย่อม ๆ

ตามหมู่บ้านที่อยู่ริมแม่น้ำโขงเลยทีเดียว โดยเฉพาะในจังหวัดหนอนคาย ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศได้เดินทางมารอดูปรากฏการณ์นี้ ที่จะเกิดขึ้นเพียงปีละ 1 หนเท่านั้น

ในช่วงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 นั่นเอง บั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้อย่างชัดเจน เพราะการเกิดของลูกไฟที่ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง

และเป็นลูกไฟที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขงลอยขึ้นไปบนอากาศ สูงประมาณตั้งแต่ 1 เมตร ไปจนถึง 30 เมตร ลอยในอากาศประมาณ 5 – 10 วินาที แล้วแสงนั้นจะหายไป

ซึ่ง 90% ของบั้งไฟพญานาคจะพบที่ อ.โพนพิสัย อ.บึงกาฬ อ.สังคม จังหวัดหนองคาย และบริเวณ สะดือแม่น้ำโขง เป็นส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำ ในจังหวัดบึงกาฬ

ตำนานบั้งไฟพญานาค วันออกพรรษา

งานเทศกาลออกพรรษาและเทศกาลบั้งไฟพญานาคโลก จังหวัดหนองคาย ประจำปี 2564

งาน “เทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาคโลก” ประจำปี 2564  ทางเทศบาลเมืองหนองคาย จัดขึ้นช่วงวันที่ 21 – 23 ตุลาคม จัดขึ้นที่ อำเภอเมือง อำเภอศรีเชียงใหม่

อำเภอรัตนวาปี และอำเภอโพนพิสัย แต่การจัดงานในครั้งนี้ทางหน่วยงานออกมาตรการอย่างเคร่งครัด เผื่อดูแลนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงาน อันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด 19

นั่นเอง โดยผู้เข้าร่วมในงาน จะต้องปฏิบัติตามหลัก D – M – H – T – T – A เป็นการตรวจคัดกรองผู้เข้างาน มีทางเข้าและออกเพียงจุดเดียว และจำกัดผู้เข้ามาร่วมงาน

สำหรับหน่วยงานที่เดินทางข้ามจังหวัดต้องตรวจ Antigen Test Kit ก่อนเข้างาน สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เขตสีแดง จะต้องได้รับวัคซีนเรียบร้อยมาแล้ว 2 เข็ม

ภายในงานจะต้องสวมหน้ากากอนามัย 2 ชั้น มีการเว้นระยะห่าง อีกทั้งจะมีการทำการสุ่มตรวจนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วย ATK ด้วย โดยสถานที่จัดงานมีดังนี้

1.อำเภอโพนพิสัย จัดงานระหว่างวันที่ 21 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2564 บริเวณลานนาคาเบิกฟ้า ท่าน้ำวัดไทย

2.อำเภอศรีเชียงใหม่ จัดงานระหว่างวันที่ 20 – 22 ตุลาตม พ.ศ. 2564 บริเวณลานเบิ่งเวียง

3.อำเภอรัตนวาปี จัดงานระหว่างวันที่ 21 – 22 ตุลาคม พ.ศ. 2564 บริเวณบ้านท่าม่วง

4.อำเภอเมืองหนองคาย จัดงานระหว่างวันที่ 21 – 22 ตุลาคม พ.ศ. 2564 บริเวณลานวัฒนธรรมหน้าวัดลำดวน

เทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาคโลก ประจำปี 2564 เทศกาลไหลเรือไฟ

สำหรับใครที่อยากไปร่วมงาน”เทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาคโลก” ประจำปี 2564 ตอนนี้ไม่รู้เต็มหรือยังนะ เราว่าก่อนจะออกจองโรงแรมหรือที่พักใด ๆ

ลองติดต่อสอบถามไปก่อนแล้วกัน  สามารถสอบถาม ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 042421526 และ 042325407 หรือ ทาง inbox Facebook

ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวจังหวัดหนองคายสอบถามให้เรียบร้อยว่า งานยังจัดได้หรือไม่ เพราะช่วงนี้หลาย ๆ จังหวัดถูกประกาศเป็นพื้นที่เขตสีแดงเยอะเลย