แม่ผัว ตอนที่ 2
แม่ผัว ตอนที่ 2 สำหรับใครยังไม่อ่านตอนที่ 1 ไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่าง ความเดิมจากตอนที่แล้ว จิ๊บและพี่อ่ำนำเงินไปคืนแม่ครบตามจำนวน 1 แสนบาท
พร้อมส่งหลานชายไปนอนเฝ้าและช่วยขายของที่ร้านชำ รอแม่หายดี ได้ออกจากโรงพยาบาล ระหว่างนั้นเด็กชายทิวสน จึงเป็นผู้จัดการร้านไปโดยปริยาย
แม่ผัว ตอนที่ 2 รักหลานหรือรังแกหลานกันแน่
เด็กชายทิวสน ลูกชายคนที่ 2 ของพี่อ่ำและจิ๊บ เป็นตัวแทนพ่อ แม่ ไปเฝ้าร้านขายของชำของย่า ระหว่างย่านอนดูอาการที่โรงพยาบาล
โชคดีตรงที่ว่าเด็ก ๆ ทั้ง 3 คนปิดเทอมพอดี จึงมาช่วยกันขายของ จิ๊บมีลูก 3 คน คนโตเป็นผู้หญิงห้าว แมน ๆ หน่อย ชื่อ เด็กหญิงปีใหม่ คนที่ 2 คือเด็กชายทิวสน
และคนที่ 3 น้องสาวคนสุดท้อง ชื่อลิลลี่ เด็กทั้ง 3 คนโตพอประมาณแล้ว สามารถเฝ้าร้าน ขายของ ทอนเงิน จัดของได้ ถึงแม้จะติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้าง เมื่อคนมาซื้อของทีละเยอะ ๆ
แต่ส่วนใหญ่ทิวสนจะเป็นคนจัดการทุกอย่างภายในร้าน หลังจากนั้นย่าอาการเริ่มดีขึ้น หมออนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ต้องไปทำกายภาพติดต่อกัน 7 วัน
พี่อ่ำรับอาสาจะพาแม่ไปทำกายภาพ แต่ด้วยความที่แม่ยังไม่ยอมสงบศึกกับจิ๊บเมียรัก แม่เลยไม่สนใจความหวังดีของพี่อ่ำ แล้วหันไปบอกลูกสาวคนรองให้ช่วยไปส่งแทน
พี่อ่ำเสียใจกับความเฉยเมยของแม่ เลยขี่รถกลับบ้านไปอย่างเงียบ ๆ เหลือทิวสนไว้คอยช่วยย่า ตอนแรกนั้น ย่าบ่นทิวสนตลอดเวลา ทำอะไรไม่ทันใจ
ชักช้า หัวทึบเหมือนพ่อเอ็งนั่นแหละ แต่อย่างว่า ทิวสนได้รับ DNA จากแม่มาเต็มพิกัด ฝีปากจึงคมกริบยิ่งกว่าใบมีดโกนเสียอีก
บอกย่าเสียงเรียบ ๆ พร้อมขายของให้กับลูกค้าไปด้วยว่า “พ่อหัวทึบของหนู ก็ลูกย่าไม่ใช่หรืออย่างไร” ลูกค้าขาประจำขำเสียงดังลั่นร้าน
ย่า “นั่นประไร ปากดีเหมือนแม่เลยนะเอ็ง” ทิวสนไม่ใส่ใจคำพูดของย่า เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะหน้าร้านเงียบ ๆ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตีป้อมต่อ
ความสัมพันธ์ย่า – หลาน เริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ย่าให้ทำอะไร ให้ช่วยอะไร ทิวสนไม่เคยบ่น ไม่เคยพูด รับปาก รับคำและทำให้ทุกอย่าง
จนวันเปิดเทอมมาถึง ทำให้ย่าต้องอยู่ขายของคนเดียว เพราะทิวสนต้องไปเรียนในเมือง กว่าจะกลับมาช่วยย่าอีกทีเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว
ย่าบ่นกระปอดกระแปดว่าเหนื่อยมาก ให้หลานช่วยจัดของก่อน แล้วค่อยไปทำการบ้าน กว่าทิวสนจะจัดของในร้านเสร็จ ปาไปเกือบ 2 ทุ่มแล้ว
กินข้าว อาบน้ำ พอจะทำการบ้าน ย่าเรียกให้มาช่วยขายของ จนปิดร้านโน่นละ เที่ยงคืนแล้วทิวสนพึ่งได้ทำการบ้าน เป็นแบบนี้ทุกวัน
จนวันหนึ่ง จิ๊บได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์ที่ปรึกษาของลูกชายตัวเอง แจ้งว่าลูกคุณแม่นอนหลับในห้องเรียนทุกวัน น้องเล่นเกมดึกหรืออย่างไร
จิ๊บตอบครูที่ปรึกษาไม่ได้ว่าทำไมลูกชายตัวเองถึงได้หลับระหว่างเรียน เพราะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ครูจึงบอกว่าการเรียนของน้องแย่กว่าเดิม เรียนตามเพื่อนไม่ทัน
ให้แม่ใส่ใจในพฤติกรรมของลูกด้วย หากมีเรื่องของการติดเกม หรือยาเสพติดให้แจ้งได้เลย ครูจะได้ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือนักเรียน
จิ๊บกลับมาบ้านด้วยความขุ่นมัว หัวร้อน บอกให้พี่อ่ำไปรับลูกกลับมาอยู่บ้านเดี๋ยวนี้ เพราะการเรียนตกต่ำ หลับในห้องเรียน เรียนตามเพื่อนไม่ทัน
พี่อ่ำทำตามที่เมียบอก ทิวสนอธิบายทุกอย่างให้พ่อ – แม่ฟังว่าแต่ละวันตัวเองช่วยย่าทำอะไรบ้าง ไม่ได้ติดเกม ไม่ได้ติดยา อย่างที่คิด
จิ๊บฟังลูกอธิบายแล้วของขึ้นทันที “เด็กมันวัยกำลังเรียนแม่พี่จะมาใช้แรงงานลูกฉันแบบนี้ไม่ได้ ฉันไม่ให้มันกลับไปนอนที่ร้านอีกแล้ว”
พี่อ่ำผู้น่าสงสาร ด้วยความที่แกเป็นคนกลางระหว่างเมียรักและแม่ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี รู้แน่ว่าอีกเดี๋ยวแม่ต้องโทรมาด่า เพราะไม่ให้ทิวสนไปช่วยที่ร้าน
เพียงแค่สิ้นความคิด โทรศัพท์โชว์เบอร์แม่อยู่หน้าจอ พี่อ่ำจำใจรับสาย รู้ทั้งรู้ว่าโดนด่าแน่ ปลายสายตวาดเสียงแหลมดังลั่น “ทำไมเอ็งไม่ให้ไอ้ทิวสนมาช่วยข้า”
พี่อ่ำอธิบายเรื่องอาจารย์ที่ปรึกษาโทรมา บอกทิวสนหลับในห้องเรียนทุกวัน แถมเรียนไม่ทันเพื่อนอีกต่างหาก “โง่เหมือนแม่มันไง จะมาโทษข้าไม่ได้หรอกนะ”
จิ๊บได้ยินแบบนั้น รีบดึงโทรศัพท์มาพูดสวนกลับอย่างเร็ว “โง่เหมือนหนูนี่แหละ โง่ที่ยอมส่งลูกไปช่วยแม่ผัว จนอดหลับอดนอน เรียนไม่รู้เรื่อง งานทำส่งครูไม่ทัน”
และกดตัดสายทิ้งไป ก่อนที่จะระเบิดอารมณ์ใส่ผัว คำพูดพรั่งพรูออกมา พร้อมหยดน้ำตาและเสียงสะอื้น “แม่พี่ไม่เคยเห็นความดีของหนูเลย ดีแต่ด่าสาดเสียเทเสีย”
พี่อ่ำกอดปลอบใจเมียรัก ด้วยสีหน้าหนักใจ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรให้ความบาดหมางระหว่างแม่ผัว – ลูกสะใภ้จบลงเสียที ทิวสนเดินเลี่ยงขึ้นห้องตัวเองไป
วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ ทิวสนขี่จักรยานไปที่ร้านชำของย่า บอกย่าว่า หนูจะมาช่วยเฉพาะวันหยุด ให้มาช่วยทุกวันเหมือนเดิมคงไม่ไหว อดนอนจนเรียนไม่รู้เรื่องแล้ว
ย่า “เอ็งจะมาทำไม เดี๋ยวแม่เอ็งก็มาด่าข้าอีกว่าทำเอ็งเสียการเรียน” ทิวสน “มันจริงไม่ใช่เหรอย่า แต่หนูเต็มใจช่วยย่าเองด้วยแหละ เพราะหนูสงสารคนแก่ไง”
ก่อนที่จะโดนย่าด่าอะไรอีก หลานชายคนเดียวของบ้าน รีบจัดเก็บของในร้าน ช่วยย่าขายของตลอดทั้งวัน พร้อมโทรบอกแม่ว่า เสาร์ – อาทิตย์จะนอนบ้านย่า
จิ๊บไม่พอใจ ไม่อยากให้ทิวสนไปช่วยงานที่ร้านของแม่ผัวอีก เพราะกลัวลูกเสียการเรียน จึงยื่นขอเสนอกับทิวสนไปว่า หากผลการเรียนตกอีก
ต้องเลิกไปช่วยย่าขายของ และต้องไปเรียนพิเศษในวันเสาร์ – อาทิตย์แทน “ครับแม่” ทิวสนรับคำอย่างว่าง่าย ชีวิตเด็ก ม.3 ของเขาไม่ได้เรียบง่ายเลย
จริง ๆ แล้ว ทิวสนแอบเบื่อหน่ายเรื่องเรียนอยู่เหมือนกัน ด้วยความที่เป็นเด็กหัวช้าในเรื่องวิชาการ เด็กน้อยชอบการวาดภาพ และเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ
เขาใฝ่ฝันอยากเป็นนักแคสเกม อธิบายคำว่า นักแคสเกมก่อนละกัน คือเป็นคนที่ชอบในการเล่นเกมเป็นชีวิต ระหว่างที่พวกเขาเหล่านี้ทำการเล่นเกมอยู่
จะมีการบันทึกภาพและเสียงระหว่างเล่นเกมด้วย บางคนจับภาพตัวเองเพื่อบันทึกรีแอ็คชั่นต่าง ๆ ลงไป และนำไปอัปโหลดลงในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ นั่นเอง
จิ๊บเองก็รู้ในเรื่องนี้ ว่าลูกตัวเองนั้นหัวช้า ไม่ชอบวิชาการ ไปโรงเรียนก็แทบไม่ได้ความรู้อะไรกับมาเลย อยากเอาดีทางด้านเล่นเกมมากกว่า
เพื่อนสนิทของจิ๊บเล่าว่า สมัยเด็ก ๆ นั้น ทิวสนขอให้แม่ทำเรื่องลาออกจากโรงเรียน ตัวเองจะไปเลี้ยงควายที่บ้านตา เหตุผลเพราะว่า จำตัวหนังสือ ก – ฮ ไม่ได้
ทิวสนจะมีเหตุผลต่าง ๆ ให้แม่และพ่อในการไม่เรียนต่อ ม.4 ขอไปเรียนสายวิชาชีพ หรือออกมาช่วยย่าขายของเลยก็ได้ เพราะอยากจริงจังในเรื่องแคสเกม
อยู่มาวันหนึ่ง อาจารย์ที่ปรึกษาโทรมาแจ้งข่าวกับจิ๊บอีกครั้งว่า ทิวสนทำข้อสอบได้คะแนนไม่เกินครึ่งเลย ยกเว้นวิชาศิลปะเท่านั้น
เรื่องราวใหญ่โตบานปลาย ทิวสนถูกกักบริเวณ ไม่ให้ไปช่วยย่าขายของและไม่ได้เล่นเกมที่เป็นชีวิตจิตใจของเขาด้วย โดนพ่อ แม่อบรมเป็นการใหญ่
เมื่อย่ารู้เรื่องว่าหลานชายถูกกักบริเวณ แกรีบบึ่งซาเล้งคู่ใจมาพร้อมไม้เท้าช่วยพยุงจอดเอี๊ยดหน้าบ้านลูกชายตัวเอง ตะโกนเรียกทิวสนให้ลงมา
“เอ็งจะยอมให้พ่อแม่ขังเอ็งแบบนี้เหรอไอ้ทิวสน เอ็งเก็บของไปอยู่กับข้า ไปช่วยข้าขายของที่ร้าน เอ็งอยากเล่นเกม เอ็งเล่นไป ไม่ต้องไปแล้วโรงรง โรงเรียน”
จิ๊บยืนกำหมัดกัดกรามแน่น หัวร้อนแบบประมาณค่าไม่ได้ ทิวสนรีบวิ่งลงมาหาย่า พร้อมคราบน้ำตา เบ้าตาที่ปูดบวมจากการร้องไห้อย่างหนัก
ย่าคว้ามือทิวสนขึ้นซาเล้งแล้วบึ่งออกไปไม่ฟังคำพูดใด ๆ ของพี่อ่ำและจิ๊บเลย จิ๊บจะขี่รถตามไปที่ร้านเอาลูกคืนกลับบ้าน เพราะสมัครเรียนพิเศษให้แล้ว
แต่พี่อ่ำบอกว่า มันเป็นช่วงปิดเทอมพอดี ปล่อยให้ไอ้ทิวสนมันใช้เวลาช่วงนี้คิดด้วยตัวเองว่าจะเรียนต่อหรืออยู่เฝ้าร้านชำของย่าไปตลอดชีวิตของมัน
ชีวิตมัน มันต้องเลือกเอง ถึงแม้เราจะเป็นพ่อ แม่ แต่เราไม่มีสิทธิ์ไปบังคับลูก เราทำได้เพียงแค่ชี้ช่องทาง ถ้าไปกดดันมากไป ลูกอาจจะเก็บกด แล้วเกิดเหตุตามข่าวก็ได้
จิ๊บยืนนิ่ง คิดตามสิ่งที่พี่อ่ำพูด ข่าวจากสำนักนั่นนี้ ที่เราอ่านเรื่องเด็กเครียดจากการเรียน โดนพ่อแม่บีบบังคับจนหาทางออกไม่ได้ และทำการ อัตวินิบาตกรรม ตัวเองในทีสุด